10 ปลากระเบนเสือดาว
ปลากระเบนลายเสือ (อังกฤษ: whipray หินอ่อน) เป็นปลากระเบนน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Himantura oxyrhynchus อยู่ในวงศ์ปลากระเบนธง (Dasyatidae) รูปร่างเหมือนปลากระเบนชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน หางยาวโคนหางมีเงี่ยงแหลมมีพิษ 1 หรือ 2 ชิ้น ที่สามารถงอกใหม่ได้เมื่อหลุดหรือหักไป หางไม่มีริ้วหนังพื้นลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเหลืองกลางหลังมีเกล็ดเป็นตุ่มหยาบ ๆ มีจุดดำคล้ายลายของเสือดาวกระจายอยู่ทั่วตัวไปจนปลายหาง อันเป็นที่มาของชื่อพื้นลำตัวด้านล่างสีขาวหากินตามพื้นท้องน้ำโดยอาหาร ได้แก่ ปลาขนาดเล็ก, สัตว์หน้าดินและสัตว์มีเปลือก จะว่ายขึ้นมาหากินบริเวณผิวน้ำบ้างเป็นบางครั้ง มีขนาดประมาณ 40 เซนติเมตร ปลากระเบนลายเสือเป็นปลาน้ำกร่อยที่พบอาศัยอยู่ค่อนมาทางน้ำจืด เป็นปลาที่พบน้อยพบได้ตามปากแม่น้ำเช่นปากแม่น้ำเจ้าพระยา, ปากแม่น้ำโขง, ทะเลสาบเขมร และพบได้ไกลถึงปากแม่น้ำบนเกาะบอร์เนียวของอินโดนีเซีย เป็นต้น แต่มีรายงานทางวิชาการว่าพบครั้งแรกที่ แม่น้ำน่าน เนื่องจากเป็นปลาที่มีลวดลายสวยงามจึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่มีราคาแพง แต่มักจะเลี้ยงไม่ค่อยรอดเพราะปลามักประสบปัญหาปรับตัวให้อยู่ในน้ำจืดหรือภาวะแวดล้อมในที่เลี้ยงไม่ค่อยได้
9 ปลากระแหทอง
8 ปลาตองลาย
ปลาตองลาย (อังกฤษ: ปลาตองลาย) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitala blanci อยู่ในวงศ์ปลากราย (วงศ์ปลากราย) มีรูปร่างเหมือนปลาทั่วไปในวงศ์นี้ แต่มีส่วนหลังและหน้าผากลาดชันน้อยกว่าปลากราย (C. ornata) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันสีลำตัวเป็นสีเงินแวววาว ลำตัวด้านท้ายมีลายจุดและขีดจำนวนไม่แน่นอนคาดเฉียงค่อนข้างเป็นระเบียบ มีขนาดประมาณ 60 เซนติเมตรใหญ่สุด 1 เมตร เป็นปลาที่พบได้เฉพาะแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขาที่ไหลสู่แม่น้ำโขง โดยมีรายงานพบเมื่อปี พ.ศ. 2510 และมีรายงานพบที่แม่น้ำน่านด้วยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถือว่าเป็นมีแค่เพียงสองแหล่งนี้ในโลกเท่านั้น เป็นปลาที่หายากชนิดหนึ่ง โดยมีชื่อติดอยู่ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List) เมื่อปี พ.ศ. 2537 ด้วยโดยอยู่ในระดับหายาก (R)[1]แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยการเพาะขยายพันธุ์สำเร็จเป็นครั้งแรกที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดชัยนาท โดยพ่อแม่ปลาเป็นปลาที่จับมาจากแม่น้ำโขง เมื่ออายุประมาณ 1 ปีน้ำหนักประมาณ 100-120 กรัมใช้เวลาในการเลี้ยงประมาณ 3 ปีในตู้กระจก จนปลามีความสมบูรณ์เต็มที่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์พบว่าตัวผู้มีน้ำหนัก 1.8 กิโลกรัมตัวเมียหนัก 2.1 กิโลกรัม โดยตัวผู้มีความยาวครีบท้องมากกว่าตัวเมียถึงสองเท่า
7 ปลาทรงเครื่อง
ปลาทรงเครื่องปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Epalzeorhynchos สีอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีรูปร่างคล้ายปลากาดำ (อี chrysophekadion) ซึ่งเป็นปลาในวงศ์และสกุลเดียวกัน แต่มีรูปร่างที่เพรียวยาวมีขนาดเล็กกว่ามาก สีลำตัวสีแดงอ่อนครีบหางสีแดงเข้มมีขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 12 เซนติเมตรพบเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนปัจจุบันเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ (สูญพันธุ์ในป่า) เนื่องจากถูกคุกคามถิ่นที่อยู่อาศัยและถูกจับไปเป็นปลาสวยงาม ซึ่งปลาที่ขายกันในตลาดปลาสวยงามเป็นปลาที่เกิดจากการผสมเทียมทั้งสิ้น ปลาทรงเครื่องยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกในวงการปลาสวยงามเช่น "ฉลามทรงเครื่อง" หรือ "หมูทรงเครื่อง" เป็นต้น
6 ปลากระทิงไฟ
ปลากระทิงไฟ (อังกฤษ: ไฟหนามปลาไหล) ปลาน้ำจืดพื้นเมืองของไทยชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mastacembelus erythrotaenia อยู่ในวงศ์ปลากระทิง (Mastacembelidae) มีรูปร่างเหมือนปลาในวงศ์นี้ทั่วไปกล่าวคือรูปร่างยาวคล้ายงูหรือปลาไหล แต่ท้ายลำตัวส่วนที่อยู่ค่อนไปทางหางจะมีลักษณะแบนข้าง และส่วนหัวหรือปลายปากจะยื่นยาวและแหลม จะงอยปากล่างจะยื่นยาวกว่าจะงอยปากบน ตามีขนาดเล็กครีบหลังครีบทวาร และหางจะเชื่อมต่อติดกันเป็นครีบเดียว โดยครีบหลังตอนหน้าจะมีขนาดเล็กมากและลักษณะเป็นหยักคล้ายกับฟันเลื่อย หากไม่สังเกตจะมองไม่เห็นโดยปลายหางมีลักษณะมนโค้งปลายค่อนข้างแหลม ไม่มีหนามใต้ตาเช่นปลากระทิงชนิดอื่น ๆ มีหนามแหลมขนาดเล็กตลอดทั้งความยาวลำตัวช่วงบนไว้เพื่อป้องกันตัว ปลากระทิงไฟจะมีรูปร่างป้อมแต่มีขนาดยาวกว่าปลากระทิง (เอ็ม armatus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันมีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60 เซนติเมตรพบใหญ่ที่สุดถึง 1 เมตร พบได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศจนถึงอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยพบได้ในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในภาคกลางและภาคใต้
5 ปลาฉลามหางไหม้
ปลาหางไหม้ (อังกฤษ: ฉลามบาลา) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Balantiocheilus ambusticauda ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cyprininae - Systomini มีรูปร่างคล้ายปลาตามิน (Amblyrhynchichthys truncatus) มีรูปร่างและทรวดทรงที่เพรียวยาวตาโตปากเล็กขยับปากอยู่ตลอดเวลา ใต้คางมีแผ่นหนังเป็นถุงเปิดออกด้านท้าย ลำตัวแบนข้างเล็กน้อย เกล็ดมีขนาดเล็กสัดส่วนของครีบทุกครีบเหมาะสมกับลำตัว โดยเฉพาะครีบหางซึ่งเว้าเป็นแฉกลึกสีของลำตัวเป็นสีเงินแวววาวด้านหลังสีเขียวปนเทาครีบหลังครีบท้องครีบก้นและครีบหางสีส้มแดงและขอบเป็นแถบดำอันเป็นที่มาของชื่อว่ายน้ำได้ ปราดเปรียวมากและกระโดดขึ้นได้สูงจากน้ำมากมีขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 20 เซนติเมตรนิยมอยู่เป็นฝูงหากินตามใต้พื้นน้ำ ในอดีตพบชุกชุมในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในประเทศไทยในต่างประเทศพบได้ที่เกาะบอร์เนียวประเทศอินโดนีเซีย (ปลาที่พบในอินโดนีเซียสีของครีบหางจะออกเหลืองสดกว่า) แต่สถานภาพในปัจจุบัน ในประเทศไทยได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในอินโดนีเซียก็ใกล้จะสูญพันธุ์เช่นกัน
4 ปลากระดี่มุก
ปลากระดี่มุกปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichogaster leeri ในวงศ์ปลากัดปลากระดี่ (Osphronemidae) มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่หม้อ (T. trichopterus) ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน แต่กระดี่มุกมีลำตัวกว้างกว่าเล็กน้อย ครีบหลังครีบหาง และครีบก้นมีขนาดใหญ่และมีก้านครีบอ่อนยาวเป็นเส้นริ้ว ลำตัวสีเงินจางมีแถบสีดำจางพาดยาวไปถึงโคนครีบหางท้องมีสีส้มหรือสีจาง และมีจุดกลมสีเงินมุกหรือสีฟ้าเหลือบกระจายไปทั่ว อันเป็นที่มาของชื่อ "กระดี่มุก" ครีบท้องเป็นสีส้มสดหรือสีเหลืองมีความยาวเต็มที่เฉลี่ย 10-12 เซนติเมตร มีพฤติกรรมมักอาศัยอยู่เป็นคู่หรือกลุ่มเล็ก ๆ ในแหล่งน้ำที่มีค่าของน้ำมีความเป็นกรดต่ำกว่าค่าของน้ำปกติ (ต่ำกว่า 7.0) เช่นในป่าพรุเป็นต้น เป็นปลาจำพวกปลากระดี่ที่พบในธรรมชาติได้น้อยที่สุดในประเทศไทย โดยจะพบในเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น นิยมเลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงามโดยเฉพาะในตู้ไม้น้ำ
3 ปลากัดไทย
ปลากัดภาคกลางหรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่าปลากัดเป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีรูปร่างเพรียวยาวและแบนข้างหัวมีขนาดเล็กครีบก้นยาวจรด ครีบหางหางแบนกลม มีอวัยวะช่วยหายใจบนผิวน้ำได้โดยใช้ปากฮุบอากาศโดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือนปลาทั่วไป เกล็ดสากเป็นแบบ ctenoid ปกคลุมจนถึงหัวริมฝีปากหนาตาโตครีบอกคู่แรกยาวใช้สำหรับสัมผัส ปลาตัวผู้มีสีน้ำตาลเหลือบแดงและน้ำเงินหรือเขียว ครีบสีแดงและมีแถบสีเหลืองประ ในขณะที่ปลาตัวเมียสีจะซีดอ่อนและมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่ามากจนเห็นได้ชัด ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำนิ่งที่มีขนาดตื้นพื้นที่เล็กทั้งในภาคกลางและภาคเหนือในประเทศไทยเท่านั้น สถานะปัจจุบันในธรรมชาติถูกคุกคามจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและสารเคมีที่ตกค้าง มีพฤติกรรมชอบอยู่ตัวเดียวในอาณาบริเวณแคบ ๆ เพราะดุร้ายก้าวร้าวมากในปลาชนิดเดียวกัน ตัวผู้เมื่อพบกันจะพองตัวพองเหงือกเบ่งสีเข้ากัดกันซึ่งในบางครั้งอาจกัดได้จนถึงตายเมื่อผสมพันธุ์ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายก่อหวอดติดกับวัสดุต่าง ๆ เหนือผิวน้ำไข่ใช้เวลาฟัก 2 วัน โดยที่ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อนเอง โดยไม่ให้ปลาตัวเมียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
2 ปลาเสือตอ
1 ปลาตะพัด
ปลาตะพัดหรือที่นิยมเรียกว่าอะโรวาน่าเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ที่มีการสืบสายพันธุ์มาจากปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Arowana (อะโรวาน่า) หรือ Arawana (อะราวาน่า) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scleropages formosus อยู่ในวงศ์ปลาตะพัด (Osteoglossidae) นับว่าเป็นปลาที่ใกล้สูญพันธุ์ในธรรมชาติ เนื่องจากเป็นปลาที่สืบพันธุ์ยาก ประกอบกับแหล่งที่อยู่ถูกทำลายไปได้รับความนิยมอย่างสูงของนักเลี้ยงปลาตู้ ในฐานะของปลาสวยงามราคาแพงสำหรับชื่อ "ตะพัด" เป็นชื่อที่เรียกกันในภาคตะวันออกแถบจังหวัดจันทบุรีและตราด ในภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานีจะเรียกปลาชนิดนี้ว่า "หางเข้" ถูกค้นพบเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2474 ตามรายงานของสมิ ธ ที่ลำน้ำเขาสมิงจังหวัดตราดโดยระบุว่าในขณะนั้น ปลาตะพัดเป็นปลาที่พบได้ทั่วไปในแม่น้ำลำคลองในภาคตะวันออก ไข่มีลักษณะสีส้มลูกกลมใหญ่ฟักไข่ในปากเนื้อมีรสชาติอร่อยนิยมใช้ทำเป็นอาหารในปัจจุบันสำหรับประเทศไทย เชื่อว่าเหลือเพียงบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองยัน ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำตาปีและบริเวณแม่น้ำที่อำเภอละงูจังหวัดสตูลเท่านั้น ส่วนทางภาคตะวันออกที่เคยชุกชุมในอดีต ไม่มีรายงานการพบอีกเลย อีกที่หนึ่งที่ได้เคยได้ชื่อว่ามีปลาตะพัดชุกชุมคือ บึงน้ำใสอำเภอรามันจังหวัดยะลา ในอดีตเป็นแหล่งจับปลาตะพัดที่มีชื่อเสียงมาก จนมีชื่อปรากฏในคำขวัญประจำอำเภอโดยชาวบ้านจะเรียกปลาชนิดนี้ว่า "กรือซอ" แต่จากการจับอย่างมากในอดีตทำให้ในปัจจุบัน ปริมาณปลาตะพัดลดน้อยลงจนแทบจะสูญพันธุ์